ประวัติวิถีอนุตตรธรรม
ในคัมภีร์เจ้าเต๋อจิง ของท่านปราชญ์เหลาจื้อจารึกไว้ว่า “ธรรมะอันกล่าวขานได้ มิใช่ธรรมะแท้ นามอันเรียกขานได้มิใช่นามแท้ ที่สุดของความว่างคือจุดเริ่มต้นของฟ้าดิน ชาติภพคือต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง” ท่านปราชญ์จวงจื้อก็กล่าวไว้ในบทต้าจงซือเพียนว่า “อันว่าธรรมะนั้น มีสัมพันธภาพ มีสัจจะภาวะอันเที่ยงแท้ แต่ปราศจากรูปลักษณ์การกำหนดหมายถ่ายทอด มอบให้ได้ แต่มิอาจรับมอบได้ ได้รับไว้ แต่มองดูไม่เห็นเป็นกำเนิดเดิมที เป็นรากฐานเดิมที”
ก่อนมีฟ้าดินนี้ ธรรมะคงอยู่แล้วก่อนกาลนาน ที่สุดของความลึกล้ำแยบยลทรงไว้ซึ่งมหิทธานุภาพนั้น ก่อกำเนิดฟ้า ก่อกำเนิดแผ่นดิน ภาวะนี้นเหนือกว่าชั้นบรรยากาศแต่มิใช่ด้วยสูง ต่ำกว่าชั้นนรกานต์แต่มิใช่ด้วยลึก มีอยู่ก่อนฟ้าดินแจ่มิใช่ด้วยนาน จำเริญกาลคงอยู่มาแต่มิใช่ด้วยแก่ชรา ในคัมภีร์ชิงจิ้งจิง จารึกไว่ว่า “ธรรมะปราศจากรูปลักษณ์ ก่อเกิดฟ้าดิน ธรรมะปราศจากเยื่อใย เคลื่อนโคจรตะวันเดือน ธรรมะปราศจากนาม กำเนิดอุ้มชูสรรพสิ่ง เรามิรู้ชื่อของสิ่งนั้น จำต้องกำหนดชื่อให้ว่า “เต๋า ธรรมะ”
ในคัมภีร์ธรรมของพระบรรพจารย์หลัว สมัยราชวงศ์หมิงในบทอู่ปู้สิ่วเช่อ จารึกไว้ว่า “เบื้องบน ที่สุดแห่งความว่างเปล่าให้กำเนิดฟ้าและดิน ปกครองฟ้าดินไว้ให้เลี่ยงดูสรรพสิ่ง” แสงญาณในตัวตนของสรรพชีวิตกำเนิดจากเบื่องบน ที่สุดแห่งความว่างเปล่า
ที่สุดของความว่างเปล่านั้นกำหนดความเป็นฟ้า ความเป็นแผ่นดิน กำหนดรากฐานของคน จึงรู้ได้ว่า ธรรมะคือที่สุดแห่งความว่างเปล่า ธรรมะปกครองมหาจักรวาลเป็นรากฐานต้นกำเนิดก่อเกิดฟ้าดิน สรรพสิ่ง
ธรรมะคือตัวแท้ของจิตญาณ เมื่ออยู่กับฟ้า (ยังไม่เข้าสถิตในตัวตน ) เรียกว่า สัจธรรม โปรดประทานไว้ในคนแล้วเรียกว่า จิตญาณ
ในคัมภีร์จง อ-ยง จารึกไว้ว่า “ชีวิตจากฟ้าเรียกว่า จิตญาณ ตัวแท้ที่ปกครองนำพาจิตญาณเรียกว่า ธรรมะ” ท่านปราชญ์ จูซี แห่งราชวงศ์ซ่งกล่าวไว้ว่า “ก่อนมีฟ้าดินนี้ มีแต่หลักสัจธรรม ด้วยเหตุที่มีหลักสัจธรรมจึงเกิดมีฟ้าดิน” กล่าวอีกว่า “หลักสัจธรรมคือความเป็นธรรมะอันอยู่เหนือรูปลักษณ์ เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง คือพลัง (พลังงาน) เป็นกลไกให้แก่สิ่งอันมีรูปลักษณ์ต่อ ๆมา การเกิดของคนจะต้องเป็นไปตามครรลองของหลักสัจธรรมเมื่อมีจิตญาณจะต้องมีพลังและมีสังขารรองรับ”
จิตญาณคืออนุภาคส่วนแยกตัวของหลักสัจธรรม ในศาสนาปราชญ์เรียกว่า “หมิงเต๋อ ชีวิตบริบูรณ์ธรรม” “ชีวิตสว่าง” ศาสนาพุทธเรียกว่า “เจินหยู คถตา” หรือ “ผูถีซิน โพธิจิต” ศาสนาเต๋าเรียกว่า “เสวียนพิ่นจือเหมิน ทวารมารดาวิเศษ” หรือ “เสวียนเชี่ยว โพรงวิเศษ” “เสวียนกวน ทวารวิเศษ” รวมความก็คือ “จิตพุทธะ” อันเป็นภาวะวิเศษที่เป็นอยู่อย่างนั้นเอง
ภาวะนี้แม้จะใช้ภาษานิยามต่างกันไป แต่ความหมายในความเป็นจริงนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน จิตภาวะสัจธรรมคือรากฐานชีวิตของคนเรา เป็นต้นกำเนิดอันยิ่งใหญ่ของชีวิต เมื่อเกิดเป็นมาเช่นนี้ เมื่อตาย ก็ต้องเป็นไปเช่นนั้น เรียกว่าหนทางของการเกิด-ตาย
ตั้งแต่โบราณกาลมา หนทางตรงของการเกิด-ตาย ศิษย์ของพระวิสุทธิอาจารย์จะได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากปากสู่จิต ในศาสนจักรก็จะได้รับการถ่ายทอดเฉพาะบุคคล เพราะเป็นการ “ถ่ายทอดสัจธรรมของจิตภาวะ” โดยตรง (ซิ่งหลี่เจินฉวน) ที่มิโปรดแพร่งพรายโดยง่าย อันเป็นการถ่ายทอดหลักสัจธรรมหรือแก่นแม้สูงสุดของศาสนาต่าง ๆ
การถ่ายทอดแก่นแท้โดยตรงนี้ ศาสนาปราชญ์เรียกว่า “อี๋ก้วน รู้แจ้งแทงตลอด” เรียกว่า “เทียนเต้า วิถีแห่งฟ้าหรืออนุตตรวิถี” ศาสนาพุทธเรียกว่า “เจิ้งฝ่าเอี่ยนฉัง สัทธธรรมอันแฝงไว้ในจักษุครรภ์” ศาสนาเต๋าเรียกว่า “จินตันต้าเต้า มหาวิถีของดวงแก้ววิเศษ”
คำเรียกขานเหล่านี้ซึ่งมีมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลเพิ่งจะสรุปเรียกรวมกันว่า “เซียนเทียนต้าเต้า วิถีอนุตตรธรรม” โดยศาสนจักรที่เฟื่องฟูขึ้นใหม่มนสมัยราชวงศ์หมิง วิถีอนุตตรธรรม ผู้ใดได้รับ บรรลุได้ พ้นเวียนว่ายเกิดตายได้
ตั้งแต่พระอริยเจ้าฝูซี อุบัติมาในโลกนี้ การถ่ายทอดจิตภาวะสัจธรรม จะถ่ายทอดแต่เฉพาะในศาสนจักรเรื่อยมาแต่ละพระองค์จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระเจ้าชิงซุ่นจื้อ (ค.ศ. 1644-1661) พระบรรพจารย์ หวงเต๋อฮุย สืบต่อตำแหน่งพระธรรมาจารย์สมัยที่เก้า การถ่ายทอดวิถีธรรมนี้จึงได้เผยแพร่ออกไปสู่ชาวโลก
เมื่อศาสนจักรของพระธรรมาจารย์สมัยที่เก้ามีการถ่ายทอดวิถีอนุตตรธรรม ศาสนจักรนั้นจึงได้ชื่อว่า ศาสนจักร “อนุตตรธรรม” อีกทั้งพระองค์ยังได้แสดงธรรมกถารวบรวมจารึกไว้เป็นพระคัมภีร์ชื่อย่อว่า “หวงจี๋จินตันเป่าเจวี่ยน สกลรัตนสูตร”
ศาสนจักรของพระองค์จึงได้ชื่ออีกว่า “หวงจี๋จินตันเต้า สกลรัตนธรรม” ต่อมาในรัชสมัยชิงเต้ากวง ปีที่ยี่สิบสาม (ค.ศ. 1843) พระบรรพจารย์พลังธาตุน้ำ สุ่ยฝ่าจู่ ปกครองธรรมจักรวาล การปฏิบัติบำเพ็ญของชาวอนุตตรธรรมจึงเบนจากธรรมนิการสัทธธรรม (เฉวียนเจิน) บริสุทธิ์เฉพาะตนไปสู่จริยธรรมทั่วหน้าตามแนวคำสอนของศาสนาปราชญ์ของท่านขงจื้อ
คำว่า “อี๋ก้วนต้าเต้า” จึงเข้ามาแทนที่คำว่า “เซียนเทียนต้าเต้า” ซึ่งก็มีความหมายว่า “อนุตตรธรรม” เช่นกัน จึงเป็นที่ยอมรับและใช้กันแพร่หลายในสมัยนั้น มาถึงพระธรรมาจารย์ “หวังเจวี๋ยอี” สมัยที่สิบห้าพระองค์ฟื้นฟูธรรมทฤษฎีว่าด้วย “สามจักรวาลสืบเนื่องถึงที่สุดด้วยหนึ่งเดียวกัน ซันจี๋อี๋ก้วน” (สามจักรวาล คือ อนุตตรจักรวาลสูงสุด เทวจักรวาลชั้นบรรยากาศ และวัตถุธาตุจักรวาลโลกเรา) มาถึงรัชสมัยชิงกวางสูปีที่สิบสอง (ค.ศ. 1886) พระธรรมาจารย์ หลิวชิงซวี สมัยที่สิบหกประกาศการเรียกขานวิถีธรรมอย่างเป็นทางการว่า “อี๋ก้วนเต้า” ปีหมินกั๋วที่ยี่สิบเก้า (ค.ศ. 1940) พระธรรมาจารย์จางเทียนหยาน ได้กลับมาใช้คำว่า “เทียนเต้า” อีก
จากนั้นเป็นต้นมาคำว่าอี๋ก้วนเต้า กับคำว่าเทียนเต้า จึงได้ใช้คู่กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
หมายเหตุ : อี๋ก้วนเต้า
อี๋ แปลว่า หนึ่งเดียว เอกเดียว
ก้วน แปลว่า ซอกซอนชอนผ่านอยู่ในทุกสภาวะ บริบูรณ์ถึงที่สุด สืบเนื่องเรื่อยไป ฯลฯ
เต้า แปลว่า ธรรมะ อนุตตรภาวะ ตัวแท้ของจิตญาณ วิถีมรรค ฯลฯ
อี๋ก้วนเต้า จึงแปลได้โดยสังเขปว่า เอกอนุตตรมรรค เอกธรรมมรรค เอกอนุตตรวิถี ความเป็นหนึ่งเดียวอันอาจรู้แจ้งแทงตลอด แปลว่า ธรรมปฏิเวธ คือเมื่อรู้ความเป็นหนึ่งจึงเข้าถึงหนทางแห่งการบรรลุได้ ได้ความเป็นหนึ่ง ปัญญาจึงสืบเนื่องเรื่อยไป ฯลฯ
ก่อนมีฟ้าดินนี้ ธรรมะคงอยู่แล้วก่อนกาลนาน ที่สุดของความลึกล้ำแยบยลทรงไว้ซึ่งมหิทธานุภาพนั้น ก่อกำเนิดฟ้า ก่อกำเนิดแผ่นดิน ภาวะนี้นเหนือกว่าชั้นบรรยากาศแต่มิใช่ด้วยสูง ต่ำกว่าชั้นนรกานต์แต่มิใช่ด้วยลึก มีอยู่ก่อนฟ้าดินแจ่มิใช่ด้วยนาน จำเริญกาลคงอยู่มาแต่มิใช่ด้วยแก่ชรา ในคัมภีร์ชิงจิ้งจิง จารึกไว่ว่า “ธรรมะปราศจากรูปลักษณ์ ก่อเกิดฟ้าดิน ธรรมะปราศจากเยื่อใย เคลื่อนโคจรตะวันเดือน ธรรมะปราศจากนาม กำเนิดอุ้มชูสรรพสิ่ง เรามิรู้ชื่อของสิ่งนั้น จำต้องกำหนดชื่อให้ว่า “เต๋า ธรรมะ”
ในคัมภีร์ธรรมของพระบรรพจารย์หลัว สมัยราชวงศ์หมิงในบทอู่ปู้สิ่วเช่อ จารึกไว้ว่า “เบื้องบน ที่สุดแห่งความว่างเปล่าให้กำเนิดฟ้าและดิน ปกครองฟ้าดินไว้ให้เลี่ยงดูสรรพสิ่ง” แสงญาณในตัวตนของสรรพชีวิตกำเนิดจากเบื่องบน ที่สุดแห่งความว่างเปล่า
ที่สุดของความว่างเปล่านั้นกำหนดความเป็นฟ้า ความเป็นแผ่นดิน กำหนดรากฐานของคน จึงรู้ได้ว่า ธรรมะคือที่สุดแห่งความว่างเปล่า ธรรมะปกครองมหาจักรวาลเป็นรากฐานต้นกำเนิดก่อเกิดฟ้าดิน สรรพสิ่ง
ธรรมะคือตัวแท้ของจิตญาณ เมื่ออยู่กับฟ้า (ยังไม่เข้าสถิตในตัวตน ) เรียกว่า สัจธรรม โปรดประทานไว้ในคนแล้วเรียกว่า จิตญาณ
ในคัมภีร์จง อ-ยง จารึกไว้ว่า “ชีวิตจากฟ้าเรียกว่า จิตญาณ ตัวแท้ที่ปกครองนำพาจิตญาณเรียกว่า ธรรมะ” ท่านปราชญ์ จูซี แห่งราชวงศ์ซ่งกล่าวไว้ว่า “ก่อนมีฟ้าดินนี้ มีแต่หลักสัจธรรม ด้วยเหตุที่มีหลักสัจธรรมจึงเกิดมีฟ้าดิน” กล่าวอีกว่า “หลักสัจธรรมคือความเป็นธรรมะอันอยู่เหนือรูปลักษณ์ เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง คือพลัง (พลังงาน) เป็นกลไกให้แก่สิ่งอันมีรูปลักษณ์ต่อ ๆมา การเกิดของคนจะต้องเป็นไปตามครรลองของหลักสัจธรรมเมื่อมีจิตญาณจะต้องมีพลังและมีสังขารรองรับ”
จิตญาณคืออนุภาคส่วนแยกตัวของหลักสัจธรรม ในศาสนาปราชญ์เรียกว่า “หมิงเต๋อ ชีวิตบริบูรณ์ธรรม” “ชีวิตสว่าง” ศาสนาพุทธเรียกว่า “เจินหยู คถตา” หรือ “ผูถีซิน โพธิจิต” ศาสนาเต๋าเรียกว่า “เสวียนพิ่นจือเหมิน ทวารมารดาวิเศษ” หรือ “เสวียนเชี่ยว โพรงวิเศษ” “เสวียนกวน ทวารวิเศษ” รวมความก็คือ “จิตพุทธะ” อันเป็นภาวะวิเศษที่เป็นอยู่อย่างนั้นเอง
ภาวะนี้แม้จะใช้ภาษานิยามต่างกันไป แต่ความหมายในความเป็นจริงนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน จิตภาวะสัจธรรมคือรากฐานชีวิตของคนเรา เป็นต้นกำเนิดอันยิ่งใหญ่ของชีวิต เมื่อเกิดเป็นมาเช่นนี้ เมื่อตาย ก็ต้องเป็นไปเช่นนั้น เรียกว่าหนทางของการเกิด-ตาย
ตั้งแต่โบราณกาลมา หนทางตรงของการเกิด-ตาย ศิษย์ของพระวิสุทธิอาจารย์จะได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากปากสู่จิต ในศาสนจักรก็จะได้รับการถ่ายทอดเฉพาะบุคคล เพราะเป็นการ “ถ่ายทอดสัจธรรมของจิตภาวะ” โดยตรง (ซิ่งหลี่เจินฉวน) ที่มิโปรดแพร่งพรายโดยง่าย อันเป็นการถ่ายทอดหลักสัจธรรมหรือแก่นแม้สูงสุดของศาสนาต่าง ๆ
การถ่ายทอดแก่นแท้โดยตรงนี้ ศาสนาปราชญ์เรียกว่า “อี๋ก้วน รู้แจ้งแทงตลอด” เรียกว่า “เทียนเต้า วิถีแห่งฟ้าหรืออนุตตรวิถี” ศาสนาพุทธเรียกว่า “เจิ้งฝ่าเอี่ยนฉัง สัทธธรรมอันแฝงไว้ในจักษุครรภ์” ศาสนาเต๋าเรียกว่า “จินตันต้าเต้า มหาวิถีของดวงแก้ววิเศษ”
คำเรียกขานเหล่านี้ซึ่งมีมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลเพิ่งจะสรุปเรียกรวมกันว่า “เซียนเทียนต้าเต้า วิถีอนุตตรธรรม” โดยศาสนจักรที่เฟื่องฟูขึ้นใหม่มนสมัยราชวงศ์หมิง วิถีอนุตตรธรรม ผู้ใดได้รับ บรรลุได้ พ้นเวียนว่ายเกิดตายได้
ตั้งแต่พระอริยเจ้าฝูซี อุบัติมาในโลกนี้ การถ่ายทอดจิตภาวะสัจธรรม จะถ่ายทอดแต่เฉพาะในศาสนจักรเรื่อยมาแต่ละพระองค์จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระเจ้าชิงซุ่นจื้อ (ค.ศ. 1644-1661) พระบรรพจารย์ หวงเต๋อฮุย สืบต่อตำแหน่งพระธรรมาจารย์สมัยที่เก้า การถ่ายทอดวิถีธรรมนี้จึงได้เผยแพร่ออกไปสู่ชาวโลก
เมื่อศาสนจักรของพระธรรมาจารย์สมัยที่เก้ามีการถ่ายทอดวิถีอนุตตรธรรม ศาสนจักรนั้นจึงได้ชื่อว่า ศาสนจักร “อนุตตรธรรม” อีกทั้งพระองค์ยังได้แสดงธรรมกถารวบรวมจารึกไว้เป็นพระคัมภีร์ชื่อย่อว่า “หวงจี๋จินตันเป่าเจวี่ยน สกลรัตนสูตร”
ศาสนจักรของพระองค์จึงได้ชื่ออีกว่า “หวงจี๋จินตันเต้า สกลรัตนธรรม” ต่อมาในรัชสมัยชิงเต้ากวง ปีที่ยี่สิบสาม (ค.ศ. 1843) พระบรรพจารย์พลังธาตุน้ำ สุ่ยฝ่าจู่ ปกครองธรรมจักรวาล การปฏิบัติบำเพ็ญของชาวอนุตตรธรรมจึงเบนจากธรรมนิการสัทธธรรม (เฉวียนเจิน) บริสุทธิ์เฉพาะตนไปสู่จริยธรรมทั่วหน้าตามแนวคำสอนของศาสนาปราชญ์ของท่านขงจื้อ
คำว่า “อี๋ก้วนต้าเต้า” จึงเข้ามาแทนที่คำว่า “เซียนเทียนต้าเต้า” ซึ่งก็มีความหมายว่า “อนุตตรธรรม” เช่นกัน จึงเป็นที่ยอมรับและใช้กันแพร่หลายในสมัยนั้น มาถึงพระธรรมาจารย์ “หวังเจวี๋ยอี” สมัยที่สิบห้าพระองค์ฟื้นฟูธรรมทฤษฎีว่าด้วย “สามจักรวาลสืบเนื่องถึงที่สุดด้วยหนึ่งเดียวกัน ซันจี๋อี๋ก้วน” (สามจักรวาล คือ อนุตตรจักรวาลสูงสุด เทวจักรวาลชั้นบรรยากาศ และวัตถุธาตุจักรวาลโลกเรา) มาถึงรัชสมัยชิงกวางสูปีที่สิบสอง (ค.ศ. 1886) พระธรรมาจารย์ หลิวชิงซวี สมัยที่สิบหกประกาศการเรียกขานวิถีธรรมอย่างเป็นทางการว่า “อี๋ก้วนเต้า” ปีหมินกั๋วที่ยี่สิบเก้า (ค.ศ. 1940) พระธรรมาจารย์จางเทียนหยาน ได้กลับมาใช้คำว่า “เทียนเต้า” อีก
จากนั้นเป็นต้นมาคำว่าอี๋ก้วนเต้า กับคำว่าเทียนเต้า จึงได้ใช้คู่กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
หมายเหตุ : อี๋ก้วนเต้า
อี๋ แปลว่า หนึ่งเดียว เอกเดียว
ก้วน แปลว่า ซอกซอนชอนผ่านอยู่ในทุกสภาวะ บริบูรณ์ถึงที่สุด สืบเนื่องเรื่อยไป ฯลฯ
เต้า แปลว่า ธรรมะ อนุตตรภาวะ ตัวแท้ของจิตญาณ วิถีมรรค ฯลฯ
อี๋ก้วนเต้า จึงแปลได้โดยสังเขปว่า เอกอนุตตรมรรค เอกธรรมมรรค เอกอนุตตรวิถี ความเป็นหนึ่งเดียวอันอาจรู้แจ้งแทงตลอด แปลว่า ธรรมปฏิเวธ คือเมื่อรู้ความเป็นหนึ่งจึงเข้าถึงหนทางแห่งการบรรลุได้ ได้ความเป็นหนึ่ง ปัญญาจึงสืบเนื่องเรื่อยไป ฯลฯ